วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ประวัติกีฬายิมนาสติก

จัดทำโดย

1. น.ส.ชลิดา     หฤหรรษพงศ์         ม.4/5       เลขที่ 4
2. น.ส.ชุติผดา   นลวชัย                  ม.4/5        เลขที่ 5
3. น.ส.ภัทรพรรณ    สิงคนิภา         ม.4/5        เลขที่ 7
4. นาย ชายชาญ พิทักษ์ชัยดำรงค์    ม.4/5        เลขที่ 10
5. นาย วิชยุตม์   เเพงอ่อน               ม.4/5         เลขที่ 16
6. นาย ศุภณัฐ    จรุงวิทยานนท์      ม.4/5         เลขที่  21

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา สุขศึกษาพละศึกษา(30101 )
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
ภาคเรียนที่ 1       ปีการศึกษา  2559




  
ประวัติกีฬายิมนาสติก
              ยิมนาสติกเริ่มเล่นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานระบุชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าชาวกรีกโบราณเป็นประเทศแรกที่สนใจและมีบทบาทสำคัญต่อกีฬายิมนาสติก   คำว่า “Gymnastic”  มาจากคำว่า
Gymnos ในภาษากรีก      มีความหมายว่า ศิลปะแห่งการเปลือยเปล่า ทั้งนี้เพราะว่าในสมัยกรีกนั้นการออกกำลังกายทุกประเภทจะไม่สวมเครื่องแต่งกายมีการประกวดทรวดทรง แข่งขันกีฬากลางแจ้ง กิจกรรมทุกประเภทที่มีการเล่นออกกำลังกายจะเล่นอยู่ในยิมเนเซียมทั้งหมด เช่น การวิ่ง การเล่นผาดโผน ไต่เชือก กายบริหาร ศิลปะการต่อสู้ เป็นต้น และเรียกกิจกรรมทุกประเภทที่ออกกำลังกายว่า ยิมนาสติก ต่อมาเมื่อกีฬาแต่ละประเภทมีวิวัฒนาการมีกฎ ระเบียบ กติกา ของตนเองขึ้น จึงแยกตัวออกไป คงเหลือกิจกรรมยิมนาสติกที่เห็นกันในปัจจุบัน
                ชาวโรมันได้รับอารยธรรมจากกรีก  ได้นำกิจกรรมยิมนาสติกมาสร้างความเข้มแข็งให้กับทหารในกองทัพ  กิจกรรมที่นำมาฝึกได้แก่ การวิ่ง  การกระโดดข้ามม้า  การพุ่งหอก  การขว้างก้อนหิน  ฟันดาบ  ไต่เชือก ไต่กำแพง และมวยปล้ำ โดยเรียกยิมนาสติกของชาวโรมันว่า ยิมนาสติกเพื่อการทหาร     เมื่ออาณาจักรโรมันเข้าสู่ยุคมืด กิจกรรมยิมนาสติกก็เสื่อมลงไปด้วย  จนถึงสมัยกลางยิมนาสติกก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่อย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเทศต่างๆ ในยุโรป
                ในประเทศเยอรมันได้มีการพัฒนายิมนาสติกขึ้นอย่างจริงจัง   ในปี ค.ศ.1776 โยฮัน เบสโดว์ (Basedow Johann Bernhard) ได้บรรจุยิมนาสติกเข้าไว้ในหลักสูตรการพลศึกษา เบสโดว์จึงได้ชื่อว่าเป็นครูสอนยิมนาสติกคนแรก
                นายโจฮัน กัตส์ มัธส์ ( Johann Guts Muths ) ชาวเยอรมัน(ค.ศ. 1759) ได้นำกิจกรรมยิมนาสติกสมัยกรีกมาประยุกต์กับการออกกำลังกายสมัยใหม่ โดยเขียนเป็นตำรายิมนาสติกเล่มแรกขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1793 ชื่อ Gymnastic For Youth (ยิมนาสติกสำหรับเยาวชน) และได้สร้างโรงยิมเนเซียมแห่งแรกขึ้น มีกิจกรรมที่ฝึก ได้แก่ ไม้กระดก ไต่เชือก ราวทรงตัว และม้าขวาง เป็นต้น เขาจึงได้สมญาว่า ปู่แห่งกีฬายิมนาสติก
                    ต่อมา จาห์น (Friedrich Ludwig Jahn) ได้คิดประดิษฐ์อุปกรณ์และสถานที่สำหรับฝึกยิมนาสติกขึ้นด้วย เขาจึงได้ชื่อว่า บิดาแห่งยิมนาสติก”  อุปกรณ์ที่เขาได้คิดค้นขึ้น ได้แก่  ราวเดี่ยว (Horizontal Bar)  ราวคู่ (Parallel Bar)  ม้ากระโดด (Vaulting Horse)  คานทรงตัว (Balance Beam)  ฟรีเอ็กเซอร์ไซด์ (Floor Exercise) ม้าหู (Side Horse)  ส่วนห่วง (Rings) และราวต่างระดับ (Uneven Bars) คิดขึ้นในสมัยกลาง
                ต่อมาในปี ค.ศ.1800  นักยิมนาสติกชาวสวีเดนชื่อ ลิงก์” (Pehr Henrik Ling) ได้นำจังหวะและการประสานงานของท่าต่างๆ อย่างต่อเนื่องโดยใช้อุปกรณ์ห่วงฮูล่า  คฑา และลูกบอลเล็ก ซึ่งปัจจุบันก็คือยิมนาสติกลีลา
                    นายดัดเลย์ เอ ซาเกนท์ (Dudley A Sargen) ชาวอเมริกา(พ.ศ. 1840) เป็นครูสอนยิมนาสติกที่วิทยาลัยโบว์ดอย (Bowdoin lleqen) เขาได้บรรจุยิมนาสติกไว้ในหลักสูตรระดับวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ
                ยิมนาสติกเริ่มการแข่งขันครั้งแรก ในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 1 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ  เมื่อปี ค.ศ.1896
                ในปี ค.ศ.1903  ตั้งสหพันธ์ยิมนาสติกสากล (Federation International De Gymnastic = FIG)  ได้จัดให้มีการแข่งขันยิมนาสติกชิงแชมป์โลกขึ้นนับเป็นครั้งที่ 7 และให้เปลี่ยนการแข่งขันเป็น 4 ปีต่อครั้ง เหมือนกับกีฬาโอลิมปิก โดยจะจัดก่อนกีฬาโอลิมปิก 1 ปี
                ในระยะแรกของการแข่งขันกีฬายิมนาสติกจะแข่งขันเฉพาะชาย  ต่อมาในปี ค.ศ.1928 จึงจัดให้มีการแข่งขันประเภทหญิงด้วย (ตรงกับกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 9 ค.ศ.1928)
                ในช่วงระยะเวลาที่กล่าวมาแล้ว กิจกรรมยิมนาสติกที่ใช้ในการแข่งขัน มีลักษณะคล้ายกับยิมนาสติกในปัจจุบัน อีกส่วนหนึ่งก็คล้ายกับกรีฑา บางครั้งก็มีว่ายน้ำรวมอยู่ด้วย  ทางสหพันธ์ยิมนาสติกสากลจึงคิดว่าควรจะแยกการแข่งขันยิมนาสติกออกจากกรีฑา
                ในปี ค.ศ.1934  เริ่มบรรจุม้ากระโดดและราวต่างระดับเข้าไว้ในการแข่งขันยิมนาสติกด้วย
                ในปี ค.ศ.1952  ได้มีการกำหนดอุปกรณ์ชายมี  6 อุปกรณ์ และหญิงมี  4 อุปกรณ์  ดังนี้  ชาย 6 อุปกรณ์ได้แก่ ฟลอร์เอ็กเซอร์ไซส์  ม้าหู  ห่วงนิ่ง  ม้ากระโดด  ราวเดี่ยว  ราวคู่  ส่วนหญิงมี 4 อุปกรณ์ได้แก่ ม้ากระโดด ราวต่างระดับ คานทรงตัว  และฟลอร์เอ็กเซอร์ไซส์  เรียกยิมนาสติกดังกล่าวนี้ว่า ยิมนาสติกสากล” (Artistic Gymnastics)
นายอดอฟ สปีช (Adolf spiess) ชาวสวิส (พ.ศ. 1992) เห็นคุณค่าและประโยชน์ของกีฬายิมนาสติก ได้บรรจุวิชายิมนาสติกไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนในสวิตเซอร์แลนด์ และได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของยิมนาสติก
               
            จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังระบุว่าชาวจีนได้มีการคิดท่ากายบริหารขึ้นมาเพื่อการบริหารร่างกายให้เกิดความแข็งแรง และถือเป็นการป้องกันและรักษาโรคได้ด้วย  นอกจากนี้  ชาวจีนยังรู้จักการเล่นกายกรรมในลักษณะของการต่อตัว การไต่เชือกและการตีลังกาแบบต่างๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายยิมนาสติกในปัจจุบัน
            หากกล่าวโดยสรุปยิมนาสติกเป็นกีฬาที่เกี่ยวกับการแสดง ความแข็งแรง ความสวยงาม ความคล่องแคล่ว และการทำงานประสานกันของร่างกาย เป็นกีฬาสากลประเภทหนึ่งที่จัดเข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มมาเมื่อใด แต่มาปรากฏก่อนคริสต์ศักราช 2,600 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวจีนได้มีการฝึกฝนท่ากายบริหารและคิดประดิษฐ์ท่ากายบริหารขึ้น แต่การเริ่มต้นยิมนาสติกอย่างแท้จริงน่าจะเริ่มสมัยเริ่มต้นของประวัติศาสตร์แห่งชาวกรีกและโรมัน โดยเฉพาะกรีกโบราณ




ประวัติความเป็นมาของกีฬายิมนาสติก ในประเทศไทย
         
          การเริ่มเล่นยิมนาสติกในประเทศไทยนั้นไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่า เริ่มเล่นในสมัยรัชกาลที่ 5เพราะในสมัยนั้นได้ส่งคนไปศึกษาต่างประเทศ เมื่อกลับมาก็ได้นาเอาวิชายิมนาสติกมาเผยแพร่ โดยเริ่มสอนที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ต่อมากระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าวิชายิมนาสติกมีประโยชน์ในการพัฒนาร่างกายและจิตใจ จึงให้อาจารย์ร้อยเอกขุนเจนกระบวนหัด ซึ่งศึกษาวิชานี้มาจากต่างประเทศเปิดสอนยิมนาสติกที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

-          26 มกราคม พ.ศ. 2511ก่อตั้งสมาคมยิมนาสติกแห่งประเทศไทย
-          พ.ศ. 2515 มีการสอนในวิทยาลัยพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒอย่างจริงจังและเริ่มมีการแสดงโชว์ตามสถานที่ต่าง ๆ และประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสหพันธ์ยิมนาสติกสากล
-          พ.ศ. 2521 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาเอเซียนเกมส์ ครั้งที่ 8 ยิมนาสติกเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ซึ่งจัดให้มีการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ได้รับความสนใจเข้าชมรมจากประชาชนและเยาวชนมากพอสมควร





อ้างอิง







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น